วันจันทร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2560

เหตุการณ์อิสรอจและเมี๊ยะรอจ


เหตุการณ์อิสรอจและเมี๊ยะรอจ

     1. การปรากฏตัวของมะลาอิกะฮฺ
มีรายงานหนึ่งระบุว่า “ขณะที่ท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กำลังนอนพักอยู่ในบ้านของท่านที่เมืองมักกะฮฺ ในสภาพที่เอนกายและง่วงนอนอยู่นั้น ฉับพลัน หลังคาบ้านของท่านก็ถูกเปิดออก และญิบรีลก็เข้ามาในบ้าน และพาท่านนบีมุหัมมัดออกสู่มัสยิดอัลหะรอม” (เศาะหีหฺอัลบุคอรีย์, เล่ม 1 หน้า 91, เศาะหีหฺมุสลิม, เล่ม 1 หน้า 148)

ขณะที่อีกรายงานหนึ่งระบุว่า “ขณะที่ท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กำลังเอนกายอยู่ที่หะญัร (ตำแหน่งที่อยู่ระหว่างหินดำกับมะกอมอิบรอฮีม) ซึ่งถูกขนาบข้างด้วยหัมซะฮฺ บินอัลดุลมุตเฏาะลิบ และญะอฺฟัร บิน อบีฏอลิบ  ในสภาพที่ง่วงนอน ก็มีมะลาอิกะฮฺจำนวนหนึ่งเข้ามาหา โดยได้ถือภาชนะทองคำที่บรรจุด้วยหิกมะฮฺและอีมานมาด้วย” (เศาะหีหฺอัลบุคอรีย์, เล่ม 4 หน้า 248, เศาะหีหฺมุสลิม, เล่ม 1 หน้า 147)

อิมามอันนะวาวีย์ กล่าวว่า หิกมะฮฺ คือ วิชาความรู้ที่ประกอบด้วยการรู้จักอัลลอฮฺ พร้อมกับช่วยสร้างความความตั้งใจที่ลึกซึ้ง เป็นสิ่งที่ช่วยขัดเกลาจิตใจ การทำให้มองเห็นสัจธรรมอย่างชัดเจน เพื่อที่จะได้นำมาปฏิบัติ และเพื่อปกป้องตนเองจากการเป็นปฏิปักษ์ต่อสัจธรรม” (ดู ฟัตหุลบารีย์, เล่ม 1 หน้า 461)
2. ผ่าอกท่านนบีมุหัมมัด
จากนั้น มะลาอิกะฮ์ญิบรีลจึงได้ผ่าหน้าอกของท่าน เริ่มจากลำคอไปจนถึงใต้สะดือของท่าน แล้วก็เอาหัวใจของท่านนบีออกมาทำความสะอาดด้วยน้ำซัมซัมในภาชนะทองคำใบหนึ่งจนสะอาด หลังจากนั้นก็บรรจุฮิกมะฮฺและอีมานลงในอกของท่าน เสร็จแล้วจึงได้เย็บประกบหน้าอกของท่านให้ติดกันเหมือนเดิม (เศาะหีหฺมุสลิม, เล่ม 1 หน้า 147 )

ด้วยเหตุนี้ อนัส บิน มาลิก จึงกล่าวว่า “แท้จริง ฉันเคยเห็นรอยเย็บดังกล่าวที่หน้าอกของท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลออุอะลัยฮิวะสัลลัม” (เศาะหีหฺมุสลิม, เล่ม 1 หน้า 147)

อุละมาอ์บางท่านกล่าวว่า “การผ่าอกในครั้งนี้เป็นการผ่าครั้งที่สาม หลังจากที่มีการผ่าครั้งแรกเมื่อครั้งที่ท่านยังเป็นเด็กอยู่ ต่อมาได้มีการผ่าครั้งที่สองเมื่อครั้งที่ท่านถูกแต่งตั้งให้เป็นรสูล” (ดู อัลบิดายะฮฺ วันนิฮายะฮฺ, เล่ม 3 หน้า 111, ฟัตหุลบารีย์ เล่ม 7 หน้า 205) วัลลอฮุอะอฺลัม

3. บุรอก
หลังจากนั้น ได้มีการนำสัตว์ตัวหนึ่งที่มีรูปร่างสีขาวและลำตัวยาวคล้ายกับม้า ลำตัวของมันจะใหญ่กว่าลา แต่จะเล็กกว่าล่อ มีชื่อว่า “บุรอก” เพื่อใช้เป็นพาหนะในการเดินทางอิสรออฺและมิอฺรอจญ์ในครั้งนี้
บุรอกเป็นสัตว์ที่เคยเป็นพาหนะของนบีท่านก่อนๆมาแล้ว (ดู สีเราะฮฺอิบนุฮิชาม, เล่ม 1 หน้า 397, อัลบิดายะฮฺ วันนิฮายะฮฺ, เล่ม 3 หน้า 109, ฟัตหุลบารีย์, เล่ม 7 หน้า 205) มันสามารถก้าวเท้าแต่ละก้าวได้ไกลจนสุดสายตา (เศาะหีหฺอัลบุคอรีย์ เล่ม 4 หน้า 248, เล่ม 8 หน้า 207, เศาะหีหฺมุสลิม, เล่ม 1 หน้า 147)

บุรอกมาปรากฏตัวในสภาพที่มีพร้อมทั้งอานนั่งและสายบังเหียน ตอนแรกมันแสดงอาการพยศและลำบากในการขับขี่ ดังนั้นญิบรีลจึงกล่าวแก่มันว่า “บุรอกเอ๋ย! ทำไมเจ้าจึงเป็นอย่างนี้? ข้าขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่า แท้จริงยังไม่เคยมีมัคลูกท่านใดขับขี่เจ้าที่จะมีเกียรติในทัศนะของอัลลอฮ์ยิ่งไปกว่าเขาผู้นี้” หลังจากนั้นมันจึงเชื่องลง (มุสนัดอะหมัด, เล่ม 3 หน้า 164, สุนันอัตติรมิซีย์, เลขที่ 5138, เป็นหะดีษหะสัน เฆาะรีบ และอิบนุหิบบานถือว่าเป็นหะดีษที่เศาะหีหฺ)
4. การเดินทางอิสรออฺ (เดินทางกลางคืนสู่มัสยิดอัลอักศอ)
หลังจากท่านนบีมุฮัมมัดขึ้นนั่งบนหลังบุรอกเรียบร้อยแล้ว ท่านก็เริ่มเดินทางพร้อมกับมะลาอิกะฮฺญิบรีล (อะลัยฮิสลาม) มุ่งสู่บัยติลมักดิส (เศาะหีหฺอัลบุคอรีย์, เล่ม 4 หน้า 248, เศาะหีหฺมุสลิม, เล่ม 1 หน้า 147) ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองอีเลีย (สีเราะฮฺอิบนุฮิชาม, เล่ม 1 หน้า 396) ประเทศปาเลสไตน์ในปัจจุบัน
การเดินทางกลางคืน (อิสรออฺ) ในครั้งนี้ ท่านนบีมุฮัมมัด ได้หยุดละหมาดในหลายสถานที่ด้วยกัน ดังนี้
1. ที่เมืองยัษริบ หรือฏ็อยยิบะฮ์ (เมืองมะดีนะฮฺในปัจจุบัน)
2. ที่เขาซีนาย ซึ่งเป็นสถานที่ที่อัลลอฮฺทรงตรัสกับนบีมูสา
3. ที่เมืองมัดยัน ใกล้กับต้นไม้ของท่านนบีมูสา (อะลัยฮิสลาม)
4. ที่บัยติลละห์มิน สถานที่ให้กำเนิดนบีอีซา (อะลัยฮิสลาม) (สุนันอันนะสาอีย์, เล่ม 1 หน้า 222, ดะลาอิล อันนุบูวะฮฺ ของอัลบัยฮะกีย์, เล่ม 2 หน้า 356 ด้วยสายรายงานที่เศาะหีหฺ)

และการเดินทางกลางคืน (อิสรออฺ) ในครั้งนี้ ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้พบเห็นเหตุการณ์ต่างๆหลายอย่าง
อัลลอฮฺทรงตรัสว่า
وَمَا جَعَلْنَا الرُّؤيَا الَّتِي أَرَيْنَاكَ إِلاَّ فِتْنَةً لِّلنَّاسِ
“และเรามิได้ทำให้การมองเห็นภาพต่างๆที่เราได้แสดงแก่เจ้า (ในค่ำคืนมิอฺรอจญ์) นอกจากเพื่อเป็นการทดสอบศรัทธาอย่างหนึ่งสำหรับมวลมนุษย์” (อัลอิสรออฺ :60)
อิบนุ อับบาส  กล่าวว่า คำว่า “รุอฺยา” ในที่นี้หมายถึง การมองเห็นสายด้วยสายตาภายนอก ในสภาพที่กำลังตื่นอยู่ต่อภาพต่างๆที่ประกฎต่อหน้าท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ในค่ำคืนอิสรออฺขณะที่ท่านถูกพาเดินทางไปยังบัยตุลมักดิส (เศาะหีหฺอัลบุคอรีย์, เล่ม 4 หน้า 250, มุสนัดอะหมัด, เลขที่ 1916, 3500 ด้วยสายรายงานที่เศาะหีหฺ, เพราะคำว่า “รุอฺยา” สามารถใช้กับความฝันและกับการมองด้วยสายตาปกติขณะที่ตื่นอยู่ (ดู ซาดุลมะสีร, เล่ม 5 หน้า 53))
5. ส่วนหนึ่งของภาพที่ปรากฏให้เห็น
1. นบีมูสา อะลัยฮิสสลามกำลังยืนละหมาดอยู่บนหลุมศพของท่าน (เศาะหีหฺมุสลิม, เล่ม 4 หน้า 185)
2. ชนกลุ่มหนึ่งที่กำลังปลูกพืชและเก็บเกี่ยวในวันหนึ่ง ทุกครั้งที่พวกเขาเก็บเกี่ยว สวนและไร่นาของเขาที่ถูกเก็บเกี่ยวแล้วจะกลับคืนสู่สภาพเดิมเหมือนกับก่อนที่จะมีการเก็บเกี่ยว ท่านนบีมุหัมมัด จึงถามญิบรีลถึงข้อเท็จจริงของดังกล่าว
ญิบรีลตอบว่า “พวกเขาคือกลุ่มชนที่ต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์ พวกเขาจะได้รับผลบุญถึง 700 เท่า” (มุสนัดอัลบซซาร,เลขที่ 55, ตะฮฺซีบุลอาษาร ของอัตเฏาะบะรีย์, เลขที่ 727, ตัฟสีรอัตเฏาะบะรีย์, เล่ม 15 หน้า 6, 15)
3. ชนกลุ่มหนึ่งกำลังใช้ศีรษะตัวเองทุบลงบนก้อนหินใหญ่ ทุกครั้งที่พวกเขาใช้ศีรษะทุบลงบนก้อนหิน ศีรษะของพวกเขาจะแตกกระจาย แต่แล้วก็จะถูกทำให้กลับคืนสู่สภาพปกติเหมือนเดิม แล้วพวกเขาก็จะใช้หัวของพวกเขาทุบลงบนก้อนหินอีกอย่างไม่หยุดหย่อน
ดังนั้น ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมจึงถามญิบรีลว่า “โอ้ ท่านญิบรีล พวกเขาเหล่านี้เป็นใครหรือ?”
ญิบรีลตอบว่า “พวกเขาเหล่านี้คือผู้ที่หนักศีรษะที่จะก้มกราบต่ออัลลอฮฺ (ละหมาด)” (ดะลาอิล อันนุบุวะฮฺ ของอัลบัยฮะกีย์, เล่ม 2 หน้า 398)

ยังมีภาพต่างๆอีกมากมายตามที่มีระบุในหะดีษที่บันทึกโดยอัตเฏาะบะรอนีย์ อัลบัยฮะกีย์ อัลบัซซารฺ และอื่นๆ แต่ส่วนมากเป็นหะดีษที่เฎาะอีฟ (อ่อน) (มัจญ์มะอฺ อัซซะวาอิด, เล่ม 1 หน้า 65-73, ดะลาอิล อันนุบุวะฮฺ, เล่ม 2 หน้า 398)
6. บัยตุลมักดิส
ในที่สุดนบีและญิบรีลก็เดินทางไปถึงบัยตุลมักดิส (เมืองอีเลีย ประเทศปาเลสไตน์) ท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จึงผูกบุรอกไว้ที่เสา (ประตูของมัสยิดอัลอักศอ) ซึ่งในอดีต บรรดาท่านนบีคนก่อนๆก็เคยผูกมันไว้กับเสาต้นนี้เช่นกัน (เศาะหีหฺมุสลิม, เล่ม 1 หน้า 145)

เสร็จแล้ว นบีมุฮัมมัด (ศ็อลฯ) เดินเข้าไปในมัสยิดอัลอักศอ และท่านได้ละหมาดสุนัตสองร็อกอัต (ด้วยการเป็นอิมามนำละหมาดแก่บรรดานบีก่อนหน้าท่าน) หลังจากนั้นท่านนบีก็เดินออกมาจากมัสยิดในสภาพที่กระหายอย่างมาก ดังนั้นญิบรีล (อะลัยฮิสสลาม) จึงนำภาชนะสองใบมาเสนอแก่ท่านนบี ใบหนึ่งบรรจุสุรา และอีกใบหนึ่งบรรจุนมสด ท่านนบีมองดูทั้งสอง แล้วท่านก็เลือกเอาภาชนะที่บรรจุนมสด ญิบรีล อะลัยฮิสสลามจึงกล่าวแก่ท่านว่า “มวลการสรรเสริญเป็นเอกสิทธิ์แห่งอัลลอฮฺที่พระองค์ทรงประทานทางนำ (ฮิดายะฮฺ) แก่ท่าน จนท่านเลือกเอาสิ่งที่เป็นฟิฏเราะฮฺ (ธรรมชาติบริสุทธิ์ หมายถึง อิสลามและความเที่ยงธรรม (เศาะหีหฺมุสิลม, เล่ม 1 หน้า 145)) หากแม้นว่าท่านเลือกเอาสุรา ประชาชาติของท่านย่อมต้องหลงทางอย่างแน่นอน” (เศาะหีหฺอัลบุคอรีย์, เล่ม 6 หน้า 240, 241)



ขอขอบคุณ อิกเราะอฺออนไลน์

ติดตามเพจคุณครูตาดีกา กดคลิ๊ก

วันอาทิตย์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2560

ท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุ อับบ๊าส

ท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุ อับบ๊าส
        ศอหะบะฮฺผู้มีเกียรติท่านนี้นับได้ว่าเป็นอีกผู้หนึ่งที่มีความประเสริฐเพรียบพร้อมไปด้วยคุณธรรมไม่มีข้อตำหนิหรือขาดตกบกพร่อง เป็นญาติใกล้ชิดกับท่านรอซูล เพราะเป็นบุตรของลุงของท่านรอซูล เป็นอาลิมผู้มีวิชาความรู้แห่งประชาชาติของท่านนบีมุฮัมหมัด มีความรู้กว้างขวางประดุจดังมหาสมุทร เปี่ยมล้นอยู่เสมอไม่มีวันเหือดแห้งเป็นผู้ที่ "ตั๊กวา"ยำเกรงต่ออัลเลาะห์ ถือศีลอดตอนกลางวัน ลุกขึ้นละหมาดในยามค่ำคืน ยามดึกสงัดก็ลุกขึ้นขออภัยโทษต่ออัลเลาะห์ ร้องไห้เสมอเพราะความยำเกรงพระองค์จนใบหน้าเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา ศอหะบะห์ผู้มีเกียรติผู้นี้คือ "อับดุลลอฮ์ อิบนิ อับบ๊าส" ผู้เป็นอัจฉริยะแห่งประชาชาติของท่านนบีมุฮัมมัด เป็นผู้เชี่ยวชาญในอัลกุรอานทั้งด้านถ้อยคำและความหมาย สามารถเข้าถึงเป้าหมายของอัลกุรอาน รู้จุดประสงค์และฮิกมะห์ของอัลกุรอานได้เป็นอย่างดี

          ท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุ อับบ๊าส เกิดก่อนการฮิจญ์เราะฮฺของท่านนบี 3 ปี เมื่อท่านรอซูล วะฟาตขณะนั้นท่านอิบนิ อับบ๊าส มีอายุเพียง สิบสาม ปีทั้งๆที่อายุยังน้อย แต่ท่านก็ท่องจำฮะดีษจากท่านนบีถึง 1660 ฮะดีษ นับเป็นประโยชน์แก่มุสลิมเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งท่านอิหม่ามบุคอรีย์และมุสลิม ได้บันทึกไว้ในซ่อฮี้ฮฺของท่านทั้งสอง

          เมื่อมารดาของท่านอิบนุอับบ๊าส คลอดท่านออกมานั้นนางได้อุ้มท่านมาหาท่านรอซูล ท่านรอซูลใช้น้ำลายของท่านป้ายในลำคอของท่านอิบนิอับบ๊าส ด้วยเหตุนี้สิ่งแรกที่เข้ากระเพาะของเด็กน้อยก็คือน้ำลายของท่านนบี อันมีบะรอกะห์และสะอาดบริสุทธิ์ ดังนั้นความยำเกรง ความรู้ ความเข้าใจ และความถูกต้อง ก็เข้าสู่เรือนร่างของท่านพร้อมกันนั้นด้วย

อัลกุรอานกล่าวไว้มีความว่า :

         และผู้ใดที่อัลเลาะห์ ทรงประทานฮิกมะห์(ฮิกมะฮฺ คือความรู้ความเข้าใจ พูดถูกต้อง มีสติปัญญา ยำเกรง และนอบน้อม) ให้แก่เขา ดังนั้นพระองค์ทรงประทานความดีมากมายให้แก่เขาแล้ว      
(อัลบะกอเราะห์ 2 : 269)
   
          เมื่อท่านอิบนุ อับบ๊าส อายุได้เจ็ดขวบ ก็ได้มาประจำอยู่กับท่านรอซูล เป็นห่วงเป็นใยและคอยปรนนิบัติท่านรอซูล ทุกอย่างเท่าที่สามารถทำได้ เช่นเตรียมน้ำให้ท่านร่อซูลใช้อาบน้ำละหมาด เมื่อท่านรอซูลละหมาดท่านอิบนิอับบ๊าสก็ละหมาดตาม เมื่อท่านร่อซูลเดินทางไกลท่านอับดุลเลาะห์ก็จะติดตามไปด้วยเสมอ จนกระทั่งเปรียบเสมือนดังเงาที่เฝ้าติดตามท่านรอซูลไปทุกฝีก้าว พร้อมกับหัวใจอันบริสุทธิ์คอยตอบรับคอยจดจำในทุกอิริยาบถของท่านรอซูล เอาไว้

          ท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุ อับบ๊าสเล่าไว้ว่า ครั้งหนึ่งท่านรอซูล จะอาบน้ำละหมาด ฉันจึงรีบนำน้ำมาให้ท่าน ท่านรอซูลก็กล่าวขอบใจ เมื่อท่านร่อซูลจะละหมาด ท่านชี้ให้ฉันยืนเคียงข้างท่านแต่ฉันกลับไปยืนที่ด้านหลัง เมื่อท่านละหมาดเสร็จท่านหันมาถามว่า :

          โอ้อับดุลลอฮ์ทำไมถึงไม่ยอมยืนเคียงข้างฉัน?

ฉันตอบว่า :

          ก็ท่านเป็นผู้มีเกียรติเกินกว่าที่ฉันจะเข้าไปยืนกระทบไหล่กับท่านนี่ครับ โอ้ท่านรอซูล

ทันใดนั้นท่านร่อซูลจึงยกมือทั้งสองข้างขอดุอาอฺต่ออัลลอฮฺว่า :

         โอ้ อัลเลาะห์ขอพระองค์ทรงโปรดประทานฮิกมะห์ให้แก่อับดุลลอฮ์ อิบนิ อับบ๊าส ด้วยเถิด

         และอัลเลาะห์ก็ทรงรับการดุอาอฺของท่านนบี พระองค์ทรงประทานฮิกมะห์ให้หนุ่มน้อยจากตระกูลฮาชิม จนกระทั้งเป็นผู้ปราดเปรื่องเหนือผู้มีความรู้ทุกคนที่อยู่ในสมัยเดียวกัน

         ท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุ อับบ๊าส สนใจศึกษาหาความรู้ พยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งวิชาความรู้ท่านได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้จากท่านรอซูลตลอดเวลาที่ท่านนบีมีชีวิตอยู่ และหลังจากที่ท่านรอซูลได้ "วะฟาต" ไปแล้ว ท่านอิบนิ อับบ๊าส จึงใช้เวลาช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่ศึกษาหาความรู้จากบรรดาอุละมาอฺที่เป็นศอหะบะห์ชั้นอาวุโสกว่า ท่านเริ่มติดต่อขอพบบรรดาศอหะบะห์เพื่อแสวงหาวิชาความรู้ดังที่ท่านเล่าไว้ว่า :

         เมื่อฉันทราบว่ามีศอหะบะห์ท่านหนึ่งท่านใดจำหฮะดีษของท่านรอซูล ถ้าหากฉันไปถึงบ้านของเขาตรงกับเวลาเที่ยงวัน ซึ่งเป็นเวลาพักผ่อน ฉันก็จะเอนหลังใช้ผ้าห่มหนุนศีรษะนอนอยู่ตรงเชิงบันไดหน้าบ้าน ลมพัดพาฝุ่นมาโดนฉันเต็มไปหมด ถ้าหากฉันจะขออนุญาตเข้าไปหาเขาเสียในตอนนั้นก็จะต้องได้รับอนุญาตอย่างแน่นอน แต่ฉันไม่ปรารถนาจะรบกวนช่วงเวลาพักผ่อนของเขา และเมื่อเขาออกจากบ้านจึงพบเห็นฉันอยู่ในสภาพเช่นนั้น เขาก็กล่าวว่า :

         โอ้บุตรของลุงของท่านรอซูล ท่านมีธุระอันใดหรือ จึงต้องลำบากลำบนมาถึงที่นี่ด้วยตนเอง? เพียงแต่ท่านสั่งมา ฉันจะไปหาท่านทันที

อิบนิ อับบ๊าสตอบว่า :

         จำเป็นเหลือเกินที่ฉันต้องมาหาท่าน เพราะวิชาความรู้นั้นเราต้องเป็นฝ่ายไปหามัน มิใช่มันจะมาหาเรา

        ต่อจากนั้นฉันก็ถามถึงฮะดีษของท่านรอซูล ที่ศอหะบะห์ผู้นั้นท่องจำไว้

        นอกจากท่านอิบนุ อับบ๊าส จะเป็นผู้ถ่อมตนเกี่ยวกับการแสวงหาวิชาความรู้แล้วท่านยังยกย่องให้เกียรติผู้มีวิชาความรู้อีกด้วย เช่นเหตุการณ์ครั้งหนึ่งขณะที่ท่านชัยดฺ อิบนิ ซาบิด ซึ่งเป็นผู้หนึ่งในบรรดาผู้บันทึกวะฮีย์และเป็นหัวหน้าคณะผู้ชี้ขาดปัญหาศาสนาของชาวมะดีนะห์เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านฟิกฮฺ การอ่าน วิชาการแบ่งมรดก ขณะนั้นท่านกำลังจะขี่อูฐ และท่านอิบนิ อับบ๊าส ยืนอยู่เบื้องหน้าในลักษณะนอบน้อมสงบเสงี่ยมเหมือนทาสที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้านายของตน ท่านอิบนิ อับบ๊าส จับอูฐให้ท่านชัยดฺขึ้นขี่โดยสะดวก แล้วท่านอิบนิ อับบ๊าสก็คว้าเชือกสะพายอูฐจูงเดินออกไป ท่านชัยดฺกล่าวว่า :

        ปล่อยเชือกเถิด โอ้บุตรของลุงของท่านรอซูล

ท่านอิบนิ อับบ๊าสกล่าวว่า :

          เช่นนี้แหละที่เราถูกใช้ให้ปฎิบัติต่อผู้มีวิชาความรู้

ท่านชัยดฺจึงกล่าวว่า :
     
         ฉันขอดูมือหน่อยซิ

ท่านอิบนุ อับบ๊าส จึงยื่นมือให้ดู ท่านชัยดฺจึงคว้ามือนั้นมาจูบและกล่าวว่า :

          เช่นนี้แหละที่เราถูกใช้ให้ปฎิบัติต่อเครือญาติของท่านนบีของเรา

          ท่านอิบนิ อับบ๊าส พากเพียรพยายามหาวิชาความรู้จนกระทั่งบรรลุถึงขั้นสูงสุดขนาดที่นักวิชาการชั้นยอดก็ต้องทึ่งในความรู้ความสามารถ

เครดิต : ก็อปมาจากเว็บไซค์หนึ่งนานมากแล้วเลยจำไม่ได้ ถ้าเป็นของใคร คอมเมนบอกได้นะคะ ญะซากัลลอฮ์

             ติดตามเพจ ครูตาดีกา 👉👉 (( คลิ๊ก ))