วันจันทร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2560

เหตุการณ์อิสรอจและเมี๊ยะรอจ


เหตุการณ์อิสรอจและเมี๊ยะรอจ

     1. การปรากฏตัวของมะลาอิกะฮฺ
มีรายงานหนึ่งระบุว่า “ขณะที่ท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กำลังนอนพักอยู่ในบ้านของท่านที่เมืองมักกะฮฺ ในสภาพที่เอนกายและง่วงนอนอยู่นั้น ฉับพลัน หลังคาบ้านของท่านก็ถูกเปิดออก และญิบรีลก็เข้ามาในบ้าน และพาท่านนบีมุหัมมัดออกสู่มัสยิดอัลหะรอม” (เศาะหีหฺอัลบุคอรีย์, เล่ม 1 หน้า 91, เศาะหีหฺมุสลิม, เล่ม 1 หน้า 148)

ขณะที่อีกรายงานหนึ่งระบุว่า “ขณะที่ท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กำลังเอนกายอยู่ที่หะญัร (ตำแหน่งที่อยู่ระหว่างหินดำกับมะกอมอิบรอฮีม) ซึ่งถูกขนาบข้างด้วยหัมซะฮฺ บินอัลดุลมุตเฏาะลิบ และญะอฺฟัร บิน อบีฏอลิบ  ในสภาพที่ง่วงนอน ก็มีมะลาอิกะฮฺจำนวนหนึ่งเข้ามาหา โดยได้ถือภาชนะทองคำที่บรรจุด้วยหิกมะฮฺและอีมานมาด้วย” (เศาะหีหฺอัลบุคอรีย์, เล่ม 4 หน้า 248, เศาะหีหฺมุสลิม, เล่ม 1 หน้า 147)

อิมามอันนะวาวีย์ กล่าวว่า หิกมะฮฺ คือ วิชาความรู้ที่ประกอบด้วยการรู้จักอัลลอฮฺ พร้อมกับช่วยสร้างความความตั้งใจที่ลึกซึ้ง เป็นสิ่งที่ช่วยขัดเกลาจิตใจ การทำให้มองเห็นสัจธรรมอย่างชัดเจน เพื่อที่จะได้นำมาปฏิบัติ และเพื่อปกป้องตนเองจากการเป็นปฏิปักษ์ต่อสัจธรรม” (ดู ฟัตหุลบารีย์, เล่ม 1 หน้า 461)
2. ผ่าอกท่านนบีมุหัมมัด
จากนั้น มะลาอิกะฮ์ญิบรีลจึงได้ผ่าหน้าอกของท่าน เริ่มจากลำคอไปจนถึงใต้สะดือของท่าน แล้วก็เอาหัวใจของท่านนบีออกมาทำความสะอาดด้วยน้ำซัมซัมในภาชนะทองคำใบหนึ่งจนสะอาด หลังจากนั้นก็บรรจุฮิกมะฮฺและอีมานลงในอกของท่าน เสร็จแล้วจึงได้เย็บประกบหน้าอกของท่านให้ติดกันเหมือนเดิม (เศาะหีหฺมุสลิม, เล่ม 1 หน้า 147 )

ด้วยเหตุนี้ อนัส บิน มาลิก จึงกล่าวว่า “แท้จริง ฉันเคยเห็นรอยเย็บดังกล่าวที่หน้าอกของท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลออุอะลัยฮิวะสัลลัม” (เศาะหีหฺมุสลิม, เล่ม 1 หน้า 147)

อุละมาอ์บางท่านกล่าวว่า “การผ่าอกในครั้งนี้เป็นการผ่าครั้งที่สาม หลังจากที่มีการผ่าครั้งแรกเมื่อครั้งที่ท่านยังเป็นเด็กอยู่ ต่อมาได้มีการผ่าครั้งที่สองเมื่อครั้งที่ท่านถูกแต่งตั้งให้เป็นรสูล” (ดู อัลบิดายะฮฺ วันนิฮายะฮฺ, เล่ม 3 หน้า 111, ฟัตหุลบารีย์ เล่ม 7 หน้า 205) วัลลอฮุอะอฺลัม

3. บุรอก
หลังจากนั้น ได้มีการนำสัตว์ตัวหนึ่งที่มีรูปร่างสีขาวและลำตัวยาวคล้ายกับม้า ลำตัวของมันจะใหญ่กว่าลา แต่จะเล็กกว่าล่อ มีชื่อว่า “บุรอก” เพื่อใช้เป็นพาหนะในการเดินทางอิสรออฺและมิอฺรอจญ์ในครั้งนี้
บุรอกเป็นสัตว์ที่เคยเป็นพาหนะของนบีท่านก่อนๆมาแล้ว (ดู สีเราะฮฺอิบนุฮิชาม, เล่ม 1 หน้า 397, อัลบิดายะฮฺ วันนิฮายะฮฺ, เล่ม 3 หน้า 109, ฟัตหุลบารีย์, เล่ม 7 หน้า 205) มันสามารถก้าวเท้าแต่ละก้าวได้ไกลจนสุดสายตา (เศาะหีหฺอัลบุคอรีย์ เล่ม 4 หน้า 248, เล่ม 8 หน้า 207, เศาะหีหฺมุสลิม, เล่ม 1 หน้า 147)

บุรอกมาปรากฏตัวในสภาพที่มีพร้อมทั้งอานนั่งและสายบังเหียน ตอนแรกมันแสดงอาการพยศและลำบากในการขับขี่ ดังนั้นญิบรีลจึงกล่าวแก่มันว่า “บุรอกเอ๋ย! ทำไมเจ้าจึงเป็นอย่างนี้? ข้าขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่า แท้จริงยังไม่เคยมีมัคลูกท่านใดขับขี่เจ้าที่จะมีเกียรติในทัศนะของอัลลอฮ์ยิ่งไปกว่าเขาผู้นี้” หลังจากนั้นมันจึงเชื่องลง (มุสนัดอะหมัด, เล่ม 3 หน้า 164, สุนันอัตติรมิซีย์, เลขที่ 5138, เป็นหะดีษหะสัน เฆาะรีบ และอิบนุหิบบานถือว่าเป็นหะดีษที่เศาะหีหฺ)
4. การเดินทางอิสรออฺ (เดินทางกลางคืนสู่มัสยิดอัลอักศอ)
หลังจากท่านนบีมุฮัมมัดขึ้นนั่งบนหลังบุรอกเรียบร้อยแล้ว ท่านก็เริ่มเดินทางพร้อมกับมะลาอิกะฮฺญิบรีล (อะลัยฮิสลาม) มุ่งสู่บัยติลมักดิส (เศาะหีหฺอัลบุคอรีย์, เล่ม 4 หน้า 248, เศาะหีหฺมุสลิม, เล่ม 1 หน้า 147) ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองอีเลีย (สีเราะฮฺอิบนุฮิชาม, เล่ม 1 หน้า 396) ประเทศปาเลสไตน์ในปัจจุบัน
การเดินทางกลางคืน (อิสรออฺ) ในครั้งนี้ ท่านนบีมุฮัมมัด ได้หยุดละหมาดในหลายสถานที่ด้วยกัน ดังนี้
1. ที่เมืองยัษริบ หรือฏ็อยยิบะฮ์ (เมืองมะดีนะฮฺในปัจจุบัน)
2. ที่เขาซีนาย ซึ่งเป็นสถานที่ที่อัลลอฮฺทรงตรัสกับนบีมูสา
3. ที่เมืองมัดยัน ใกล้กับต้นไม้ของท่านนบีมูสา (อะลัยฮิสลาม)
4. ที่บัยติลละห์มิน สถานที่ให้กำเนิดนบีอีซา (อะลัยฮิสลาม) (สุนันอันนะสาอีย์, เล่ม 1 หน้า 222, ดะลาอิล อันนุบูวะฮฺ ของอัลบัยฮะกีย์, เล่ม 2 หน้า 356 ด้วยสายรายงานที่เศาะหีหฺ)

และการเดินทางกลางคืน (อิสรออฺ) ในครั้งนี้ ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้พบเห็นเหตุการณ์ต่างๆหลายอย่าง
อัลลอฮฺทรงตรัสว่า
وَمَا جَعَلْنَا الرُّؤيَا الَّتِي أَرَيْنَاكَ إِلاَّ فِتْنَةً لِّلنَّاسِ
“และเรามิได้ทำให้การมองเห็นภาพต่างๆที่เราได้แสดงแก่เจ้า (ในค่ำคืนมิอฺรอจญ์) นอกจากเพื่อเป็นการทดสอบศรัทธาอย่างหนึ่งสำหรับมวลมนุษย์” (อัลอิสรออฺ :60)
อิบนุ อับบาส  กล่าวว่า คำว่า “รุอฺยา” ในที่นี้หมายถึง การมองเห็นสายด้วยสายตาภายนอก ในสภาพที่กำลังตื่นอยู่ต่อภาพต่างๆที่ประกฎต่อหน้าท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ในค่ำคืนอิสรออฺขณะที่ท่านถูกพาเดินทางไปยังบัยตุลมักดิส (เศาะหีหฺอัลบุคอรีย์, เล่ม 4 หน้า 250, มุสนัดอะหมัด, เลขที่ 1916, 3500 ด้วยสายรายงานที่เศาะหีหฺ, เพราะคำว่า “รุอฺยา” สามารถใช้กับความฝันและกับการมองด้วยสายตาปกติขณะที่ตื่นอยู่ (ดู ซาดุลมะสีร, เล่ม 5 หน้า 53))
5. ส่วนหนึ่งของภาพที่ปรากฏให้เห็น
1. นบีมูสา อะลัยฮิสสลามกำลังยืนละหมาดอยู่บนหลุมศพของท่าน (เศาะหีหฺมุสลิม, เล่ม 4 หน้า 185)
2. ชนกลุ่มหนึ่งที่กำลังปลูกพืชและเก็บเกี่ยวในวันหนึ่ง ทุกครั้งที่พวกเขาเก็บเกี่ยว สวนและไร่นาของเขาที่ถูกเก็บเกี่ยวแล้วจะกลับคืนสู่สภาพเดิมเหมือนกับก่อนที่จะมีการเก็บเกี่ยว ท่านนบีมุหัมมัด จึงถามญิบรีลถึงข้อเท็จจริงของดังกล่าว
ญิบรีลตอบว่า “พวกเขาคือกลุ่มชนที่ต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์ พวกเขาจะได้รับผลบุญถึง 700 เท่า” (มุสนัดอัลบซซาร,เลขที่ 55, ตะฮฺซีบุลอาษาร ของอัตเฏาะบะรีย์, เลขที่ 727, ตัฟสีรอัตเฏาะบะรีย์, เล่ม 15 หน้า 6, 15)
3. ชนกลุ่มหนึ่งกำลังใช้ศีรษะตัวเองทุบลงบนก้อนหินใหญ่ ทุกครั้งที่พวกเขาใช้ศีรษะทุบลงบนก้อนหิน ศีรษะของพวกเขาจะแตกกระจาย แต่แล้วก็จะถูกทำให้กลับคืนสู่สภาพปกติเหมือนเดิม แล้วพวกเขาก็จะใช้หัวของพวกเขาทุบลงบนก้อนหินอีกอย่างไม่หยุดหย่อน
ดังนั้น ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมจึงถามญิบรีลว่า “โอ้ ท่านญิบรีล พวกเขาเหล่านี้เป็นใครหรือ?”
ญิบรีลตอบว่า “พวกเขาเหล่านี้คือผู้ที่หนักศีรษะที่จะก้มกราบต่ออัลลอฮฺ (ละหมาด)” (ดะลาอิล อันนุบุวะฮฺ ของอัลบัยฮะกีย์, เล่ม 2 หน้า 398)

ยังมีภาพต่างๆอีกมากมายตามที่มีระบุในหะดีษที่บันทึกโดยอัตเฏาะบะรอนีย์ อัลบัยฮะกีย์ อัลบัซซารฺ และอื่นๆ แต่ส่วนมากเป็นหะดีษที่เฎาะอีฟ (อ่อน) (มัจญ์มะอฺ อัซซะวาอิด, เล่ม 1 หน้า 65-73, ดะลาอิล อันนุบุวะฮฺ, เล่ม 2 หน้า 398)
6. บัยตุลมักดิส
ในที่สุดนบีและญิบรีลก็เดินทางไปถึงบัยตุลมักดิส (เมืองอีเลีย ประเทศปาเลสไตน์) ท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จึงผูกบุรอกไว้ที่เสา (ประตูของมัสยิดอัลอักศอ) ซึ่งในอดีต บรรดาท่านนบีคนก่อนๆก็เคยผูกมันไว้กับเสาต้นนี้เช่นกัน (เศาะหีหฺมุสลิม, เล่ม 1 หน้า 145)

เสร็จแล้ว นบีมุฮัมมัด (ศ็อลฯ) เดินเข้าไปในมัสยิดอัลอักศอ และท่านได้ละหมาดสุนัตสองร็อกอัต (ด้วยการเป็นอิมามนำละหมาดแก่บรรดานบีก่อนหน้าท่าน) หลังจากนั้นท่านนบีก็เดินออกมาจากมัสยิดในสภาพที่กระหายอย่างมาก ดังนั้นญิบรีล (อะลัยฮิสสลาม) จึงนำภาชนะสองใบมาเสนอแก่ท่านนบี ใบหนึ่งบรรจุสุรา และอีกใบหนึ่งบรรจุนมสด ท่านนบีมองดูทั้งสอง แล้วท่านก็เลือกเอาภาชนะที่บรรจุนมสด ญิบรีล อะลัยฮิสสลามจึงกล่าวแก่ท่านว่า “มวลการสรรเสริญเป็นเอกสิทธิ์แห่งอัลลอฮฺที่พระองค์ทรงประทานทางนำ (ฮิดายะฮฺ) แก่ท่าน จนท่านเลือกเอาสิ่งที่เป็นฟิฏเราะฮฺ (ธรรมชาติบริสุทธิ์ หมายถึง อิสลามและความเที่ยงธรรม (เศาะหีหฺมุสิลม, เล่ม 1 หน้า 145)) หากแม้นว่าท่านเลือกเอาสุรา ประชาชาติของท่านย่อมต้องหลงทางอย่างแน่นอน” (เศาะหีหฺอัลบุคอรีย์, เล่ม 6 หน้า 240, 241)



ขอขอบคุณ อิกเราะอฺออนไลน์

ติดตามเพจคุณครูตาดีกา กดคลิ๊ก

วันอาทิตย์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2560

ท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุ อับบ๊าส

ท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุ อับบ๊าส
        ศอหะบะฮฺผู้มีเกียรติท่านนี้นับได้ว่าเป็นอีกผู้หนึ่งที่มีความประเสริฐเพรียบพร้อมไปด้วยคุณธรรมไม่มีข้อตำหนิหรือขาดตกบกพร่อง เป็นญาติใกล้ชิดกับท่านรอซูล เพราะเป็นบุตรของลุงของท่านรอซูล เป็นอาลิมผู้มีวิชาความรู้แห่งประชาชาติของท่านนบีมุฮัมหมัด มีความรู้กว้างขวางประดุจดังมหาสมุทร เปี่ยมล้นอยู่เสมอไม่มีวันเหือดแห้งเป็นผู้ที่ "ตั๊กวา"ยำเกรงต่ออัลเลาะห์ ถือศีลอดตอนกลางวัน ลุกขึ้นละหมาดในยามค่ำคืน ยามดึกสงัดก็ลุกขึ้นขออภัยโทษต่ออัลเลาะห์ ร้องไห้เสมอเพราะความยำเกรงพระองค์จนใบหน้าเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา ศอหะบะห์ผู้มีเกียรติผู้นี้คือ "อับดุลลอฮ์ อิบนิ อับบ๊าส" ผู้เป็นอัจฉริยะแห่งประชาชาติของท่านนบีมุฮัมมัด เป็นผู้เชี่ยวชาญในอัลกุรอานทั้งด้านถ้อยคำและความหมาย สามารถเข้าถึงเป้าหมายของอัลกุรอาน รู้จุดประสงค์และฮิกมะห์ของอัลกุรอานได้เป็นอย่างดี

          ท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุ อับบ๊าส เกิดก่อนการฮิจญ์เราะฮฺของท่านนบี 3 ปี เมื่อท่านรอซูล วะฟาตขณะนั้นท่านอิบนิ อับบ๊าส มีอายุเพียง สิบสาม ปีทั้งๆที่อายุยังน้อย แต่ท่านก็ท่องจำฮะดีษจากท่านนบีถึง 1660 ฮะดีษ นับเป็นประโยชน์แก่มุสลิมเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งท่านอิหม่ามบุคอรีย์และมุสลิม ได้บันทึกไว้ในซ่อฮี้ฮฺของท่านทั้งสอง

          เมื่อมารดาของท่านอิบนุอับบ๊าส คลอดท่านออกมานั้นนางได้อุ้มท่านมาหาท่านรอซูล ท่านรอซูลใช้น้ำลายของท่านป้ายในลำคอของท่านอิบนิอับบ๊าส ด้วยเหตุนี้สิ่งแรกที่เข้ากระเพาะของเด็กน้อยก็คือน้ำลายของท่านนบี อันมีบะรอกะห์และสะอาดบริสุทธิ์ ดังนั้นความยำเกรง ความรู้ ความเข้าใจ และความถูกต้อง ก็เข้าสู่เรือนร่างของท่านพร้อมกันนั้นด้วย

อัลกุรอานกล่าวไว้มีความว่า :

         และผู้ใดที่อัลเลาะห์ ทรงประทานฮิกมะห์(ฮิกมะฮฺ คือความรู้ความเข้าใจ พูดถูกต้อง มีสติปัญญา ยำเกรง และนอบน้อม) ให้แก่เขา ดังนั้นพระองค์ทรงประทานความดีมากมายให้แก่เขาแล้ว      
(อัลบะกอเราะห์ 2 : 269)
   
          เมื่อท่านอิบนุ อับบ๊าส อายุได้เจ็ดขวบ ก็ได้มาประจำอยู่กับท่านรอซูล เป็นห่วงเป็นใยและคอยปรนนิบัติท่านรอซูล ทุกอย่างเท่าที่สามารถทำได้ เช่นเตรียมน้ำให้ท่านร่อซูลใช้อาบน้ำละหมาด เมื่อท่านรอซูลละหมาดท่านอิบนิอับบ๊าสก็ละหมาดตาม เมื่อท่านร่อซูลเดินทางไกลท่านอับดุลเลาะห์ก็จะติดตามไปด้วยเสมอ จนกระทั่งเปรียบเสมือนดังเงาที่เฝ้าติดตามท่านรอซูลไปทุกฝีก้าว พร้อมกับหัวใจอันบริสุทธิ์คอยตอบรับคอยจดจำในทุกอิริยาบถของท่านรอซูล เอาไว้

          ท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุ อับบ๊าสเล่าไว้ว่า ครั้งหนึ่งท่านรอซูล จะอาบน้ำละหมาด ฉันจึงรีบนำน้ำมาให้ท่าน ท่านรอซูลก็กล่าวขอบใจ เมื่อท่านร่อซูลจะละหมาด ท่านชี้ให้ฉันยืนเคียงข้างท่านแต่ฉันกลับไปยืนที่ด้านหลัง เมื่อท่านละหมาดเสร็จท่านหันมาถามว่า :

          โอ้อับดุลลอฮ์ทำไมถึงไม่ยอมยืนเคียงข้างฉัน?

ฉันตอบว่า :

          ก็ท่านเป็นผู้มีเกียรติเกินกว่าที่ฉันจะเข้าไปยืนกระทบไหล่กับท่านนี่ครับ โอ้ท่านรอซูล

ทันใดนั้นท่านร่อซูลจึงยกมือทั้งสองข้างขอดุอาอฺต่ออัลลอฮฺว่า :

         โอ้ อัลเลาะห์ขอพระองค์ทรงโปรดประทานฮิกมะห์ให้แก่อับดุลลอฮ์ อิบนิ อับบ๊าส ด้วยเถิด

         และอัลเลาะห์ก็ทรงรับการดุอาอฺของท่านนบี พระองค์ทรงประทานฮิกมะห์ให้หนุ่มน้อยจากตระกูลฮาชิม จนกระทั้งเป็นผู้ปราดเปรื่องเหนือผู้มีความรู้ทุกคนที่อยู่ในสมัยเดียวกัน

         ท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุ อับบ๊าส สนใจศึกษาหาความรู้ พยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งวิชาความรู้ท่านได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้จากท่านรอซูลตลอดเวลาที่ท่านนบีมีชีวิตอยู่ และหลังจากที่ท่านรอซูลได้ "วะฟาต" ไปแล้ว ท่านอิบนิ อับบ๊าส จึงใช้เวลาช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่ศึกษาหาความรู้จากบรรดาอุละมาอฺที่เป็นศอหะบะห์ชั้นอาวุโสกว่า ท่านเริ่มติดต่อขอพบบรรดาศอหะบะห์เพื่อแสวงหาวิชาความรู้ดังที่ท่านเล่าไว้ว่า :

         เมื่อฉันทราบว่ามีศอหะบะห์ท่านหนึ่งท่านใดจำหฮะดีษของท่านรอซูล ถ้าหากฉันไปถึงบ้านของเขาตรงกับเวลาเที่ยงวัน ซึ่งเป็นเวลาพักผ่อน ฉันก็จะเอนหลังใช้ผ้าห่มหนุนศีรษะนอนอยู่ตรงเชิงบันไดหน้าบ้าน ลมพัดพาฝุ่นมาโดนฉันเต็มไปหมด ถ้าหากฉันจะขออนุญาตเข้าไปหาเขาเสียในตอนนั้นก็จะต้องได้รับอนุญาตอย่างแน่นอน แต่ฉันไม่ปรารถนาจะรบกวนช่วงเวลาพักผ่อนของเขา และเมื่อเขาออกจากบ้านจึงพบเห็นฉันอยู่ในสภาพเช่นนั้น เขาก็กล่าวว่า :

         โอ้บุตรของลุงของท่านรอซูล ท่านมีธุระอันใดหรือ จึงต้องลำบากลำบนมาถึงที่นี่ด้วยตนเอง? เพียงแต่ท่านสั่งมา ฉันจะไปหาท่านทันที

อิบนิ อับบ๊าสตอบว่า :

         จำเป็นเหลือเกินที่ฉันต้องมาหาท่าน เพราะวิชาความรู้นั้นเราต้องเป็นฝ่ายไปหามัน มิใช่มันจะมาหาเรา

        ต่อจากนั้นฉันก็ถามถึงฮะดีษของท่านรอซูล ที่ศอหะบะห์ผู้นั้นท่องจำไว้

        นอกจากท่านอิบนุ อับบ๊าส จะเป็นผู้ถ่อมตนเกี่ยวกับการแสวงหาวิชาความรู้แล้วท่านยังยกย่องให้เกียรติผู้มีวิชาความรู้อีกด้วย เช่นเหตุการณ์ครั้งหนึ่งขณะที่ท่านชัยดฺ อิบนิ ซาบิด ซึ่งเป็นผู้หนึ่งในบรรดาผู้บันทึกวะฮีย์และเป็นหัวหน้าคณะผู้ชี้ขาดปัญหาศาสนาของชาวมะดีนะห์เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านฟิกฮฺ การอ่าน วิชาการแบ่งมรดก ขณะนั้นท่านกำลังจะขี่อูฐ และท่านอิบนิ อับบ๊าส ยืนอยู่เบื้องหน้าในลักษณะนอบน้อมสงบเสงี่ยมเหมือนทาสที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้านายของตน ท่านอิบนิ อับบ๊าส จับอูฐให้ท่านชัยดฺขึ้นขี่โดยสะดวก แล้วท่านอิบนิ อับบ๊าสก็คว้าเชือกสะพายอูฐจูงเดินออกไป ท่านชัยดฺกล่าวว่า :

        ปล่อยเชือกเถิด โอ้บุตรของลุงของท่านรอซูล

ท่านอิบนิ อับบ๊าสกล่าวว่า :

          เช่นนี้แหละที่เราถูกใช้ให้ปฎิบัติต่อผู้มีวิชาความรู้

ท่านชัยดฺจึงกล่าวว่า :
     
         ฉันขอดูมือหน่อยซิ

ท่านอิบนุ อับบ๊าส จึงยื่นมือให้ดู ท่านชัยดฺจึงคว้ามือนั้นมาจูบและกล่าวว่า :

          เช่นนี้แหละที่เราถูกใช้ให้ปฎิบัติต่อเครือญาติของท่านนบีของเรา

          ท่านอิบนิ อับบ๊าส พากเพียรพยายามหาวิชาความรู้จนกระทั่งบรรลุถึงขั้นสูงสุดขนาดที่นักวิชาการชั้นยอดก็ต้องทึ่งในความรู้ความสามารถ

เครดิต : ก็อปมาจากเว็บไซค์หนึ่งนานมากแล้วเลยจำไม่ได้ ถ้าเป็นของใคร คอมเมนบอกได้นะคะ ญะซากัลลอฮ์

             ติดตามเพจ ครูตาดีกา 👉👉 (( คลิ๊ก ))

วันเสาร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2560

คุณค่าของการละหมาด "ตะฮัจญุด"

คุณค่าของการละหมาด "ตะฮัจญุด"

1. อัลลอฮ์ (ซ.บ) จะให้ ลิ้นของเรามี ฮิกมะห์ พูดอะไร เข้าใจง่ายและอยากฟัง
2. ละหมาด ตะฮัจยุด 2 รอกากอัต ดีกว่าโลก และ ทรัพสิน ที่มีอยู่
3. มีแสงสว่างในกุโบร์
4. ทำให้ ร่างกายแข็งแรงลบล้างความชั่ว
5. คนที่ละหมาดตะฮัจยุด เป็น อิสติกอมะห์ อัลลอ์ จะยกเกียรติ สูงสุดให้แก่เค้า
6. ปลอดภัยจากโรคร้าย และ บาลอ ต่างๆ
7. เป็นเวลาที่ใกล้ ชิดอัลลอฮ์ มากที่สุด เพระ ดุอาจะถูกตอบรับ
8. ก่อนนอน หากเราเหนียต ละหมาด ตะฮัจยุด แต่ไม่ตื่น เค้าก็ จะได้ ผลบุญนั้น เช่นกัน
9. เป็น อาม้าลของคนซอและห์
10. เป็น หัวใจของละหมาด สุนัตทั้งหมด
11. ขอดุอา เพื่อ ฮิดายัต ทั่ว โลก
12. ผุ้ปลุกคนให้ละหมาด ตะฮัจยุด เขาจะได้ ผลบุญ เท่ากับ ซิเกร ทั้งคืน...

เครดิต : อ. อุบดุลฮากีม วันแอเลาะ

ฝากติดตามเพจคุณครู ตาดีกา 👉👉(( กดคลิ๊ก ))

วันศุกร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2560

ละหมาดอย่างไรให้นิ่ง (คู่ชั๊วะ)


ละหมาดอย่างไรให้นิ่ง (คู่ชั๊วะ)
   ละหมาดให้ (คู่ชั๊วะ) ได้อย่างไร ?
คู่ชั๊วะ คือความสงบที่ก่อเกิดจากความเคารพ สงบทั้งกิริยา วาจา และจิตใจ เป็นการวิปัสสนาด้วยหัวใจ ในสภาพที่กิริยาเคลื่อนย้าย เพื่อแสดงความเคารพ สักการะต่ออัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตาอาลา เป็นการฝึกฝนการมีสมาธิในสภาพเคลื่อนไหว ซึ่งเกิดประโยชน์จริงในสภาพของความเป็นจริง ถือเป็นสมาธิที่ล้ำลึกมากกว่าการมีสมาธิที่ฝึกฝนหรือกำหนดขึ้นในสภาพนั่ง นอนหรือยืนอย่างหนึ่งอย่างใด แต่เพียงประการเดียว เพราะอิสลามต้องการให้เอาสมาธิไปใช้ในชีวิตจริง ไม่เพียงแต่มานั่งขัดสมาธิเท่านั้น นื่องจากได้พิจารณาเห็นว่า การนั่งสมาธิอย่างเดียวจะทำให้อิริยาบถอื่นๆ ไม่มีสมาธิ

คู่ชั๊วะ เป็นงานของหัวใจ หัวใจเป็นนายหรือเป็นผู้บริหาร ผู้นำของอวัยวะทั้งหมดภายในร่างกาย คือหัวใจที่กำกับหัวใจดวงที่เป็นก้อนเนื้อนี้ มิใช่หัวใจที่คือก้อนเนื้อก้อนนี้



ท่านรอซูล ศ้อลลอลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เห็นคนๆ หนึ่งละหมาดด้วยท่าทีที่ไม่สงบ ท่านกล่าวว่า หากหัวใจของเราสงบ ร่างกายก็จะสงบด้วย   อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตาอาลา  ได้กล่าวไว้ในกุรอาน

قَدْ أَفْلَحَ الْمُؤْمِنُوْنَ   اَلَّذِيْنَ هُمْ فِيْ صَلاَتِهِمْ خَاشِعُوْنَ            المؤمنون 1-2


ความว่า “บรรดาศรัทธาชน ย่อมได้รับชัยชนะ ศรัทธาชนนั้นคือผู้ที่การละหมาดของพวกเขามีคู่ชั๊วะ (สงบ)”

อนึ่งในเรื่องผลตอบแทนของการละหมาดนี้ บางโองการกล่าวว่า

فَوَيْلٌ لِلْمُصَلِّيْنَ اَلَّذِيْنَ هُمْ عَنْ صَلاَتِهِمْ سَاهُوْنَ        الماعون 4-5

ความว่า “เหวในขุมนรกจะประสพแก่บรรดาผู้ละหมาด ที่การละหมาดของพวกเขา พวกเขาเลินเล่อ”

จึงสรุปได้ว่า บางคนละหมาดแล้ว แต่ยังไม่เรียกว่าเขาละหมาด การละหมาดจึงต้องกระทำด้วยสมอง และหัวใจ มิใช่ด้วยเรือนร่าง หรือการแสดงออกด้วยพฤติกรรมแต่เพียงอย่างเดียว
ละหมาดคือ ความสุข ความสุขที่ไม่มีความสุขใดๆ เทียบเท่า ท่านนะบี ศ้อลลอลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม   กล่าวแก่บิล้าลว่า

يَابِلاَلُ أَرِحْنَا بِالصَّلاَةِ

ความว่า “โอ้บิล้าล จงทำให้เรามีความสุข ด้วยการละหมาด”

กับความสุขของการละหมาด ชาวสะลัฟยืนละหมาดจนนกกาเข้าใจว่า ตอไม้ สำหรับท่านอิหม่ามชาฟีอี ท่านละหมาดสุนัตหลังละหมาดอีชาสองรอกาอัตทุกคืน ด้วยการอ่านกุรอานหนึ่งจบ นั่นก็เพราะความสุขที่ได้รับจากการละหมาด ซึ่งท่านนะบี ศ้อลลอลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

حُبِّبَ اِلَىَّ دُنْيَاكُمْ ثَلاَثٌ اَلطِّيْبُ وَالنِّسَاءُ وَقُرَّةُ عَيْنِيْ فِى الصَّلاَةِ

ความว่า “ดุนยาของท่านทั้งหลาย ฉันรักมันอยู่ 3 อย่างคือ กลิ่นหอม สตรี และความสุขที่ได้รับจากการละหมาด (ชี้ให้เห็นว่า ละหมาดเป็นเรื่องดุนยา)”



เราจึงควรแสวงหาความสุขที่ได้รับจากการละหมาด เป็นความสุขที่สุขที่สุด อมตะที่สุด หาได้ตรงนี้ ตรงที่ ที่มีเรา หาได้โดยไม่ต้องเสียเวลา ไม่ต้องเสียเงินเสียทอง หาได้ด้วยตัวเราเอง ที่ตัวเราเอง มันอยู่ที่ตรงนี้ อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตาอาลา พระองค์ผู้ที่ด้วยสมองของเราคิด เราจักต้องรักมากกว่าสิ่งใดๆ พระองค์ให้โอกาสแก่เรา เพื่อให้เราได้อยู่กับพระองค์ ได้เข้าเฝ้าพระองค์ทุกวัน วันละ 5 ครั้ง รักเราพร้อมมอบความสุขให้แก่เรา แม้เราจะเป็นผู้ทรยศ ฟากฟ้าและแผ่นดินต่างตัสเบียะฮ์ แสดงความรักต่อพระองค์กันอยู่ตลอดเวลา มันต่างเจ็บใจที่มนุษย์บางคนเกลียดพระองค์ ไม่ปฏิบัติตามที่พระองค์สอนสั่ง ทรยศต่อพระองค์ มันเคยอาสาพระองค์ที่จะประชาทัณฑ์ผู้ทรยศต่อพระองค์ ทั้งนี้ก็ด้วยความรักของมันที่มีต่อพระองค์ พระองค์กลับไม่ยินดี ด้วยการบอกกับพวกมันว่า

لَوْ خَلَقْتُمُوْهُ لَرَحِمْتُمُوْهُ

ความว่า “หากพวกท่านให้บังเกิด (สร้าง) มัน แน่นอนพวกท่านต้องรักมัน”

กี่วัน กี่เดือน กี่ปีมาแล้วที่อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตาอาลา ให้เวลาเพื่อการแก้ตัว บางคนมีอายุอยู่จนแก่ชรา แต่ก็ยังแก้ตัวไม่ได้ สงสารลูกหลานที่มีผู้เฒ่าอย่างนั้นจังเลย มีฮะดีษกุดซีย์กล่าวว่า

لاَإِلهَ اِلاَّ أَنَا اِذَا رَضِيْتُ بَارَكْتُ وَبَرَكَتِيْ لَيْسَتْ لَهَا نِهَايَةٌ   وَاِذَا غَضِبْتُ لَعَنْتُ وَلَعْنَتِيْ تَبْلُغُ السَّابِعَ مِنَ الْوَلَدِ

ความว่า “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากฉัน เมื่อฉันยินดี  ฉันก็จะเพิ่มพูน มอบบารอกัตให้ ซึ่งบารอกัตของฉันนั้นไม่มีจุดจบสิ้น และเมื่อฉันโกรธ ฉันก็กริ้ว ซึ่งความกริ้วของฉัน จะทอดไปถึงเจ็ดชั่วโคตร”

เป็นฮะดีษที่สะเทือนขวัญมาก เพราะเมื่อเราเลว ลูกหลานจะเลวไปถึงเจ็ดชั่วโคตรด้วยนั่นเอง ในทางกลับกัน หากเราเป็นคนดี ลูกหลานของเราก็จะดีตลอดกาล ไม่ว่าจะกี่ชั่วโคตรก็ตาม

ดุนยานี้แหละที่ทำลายคู่ชั๊วะ โดยเฉพาะอย่าลุ่มหลง อย่ารักมันด้วยหัวใจ เพราะสิ่งใดที่เรารักด้วยใจ เราจะกลายเป็นทาสของสิ่งนั้น ดังนั้นจงรักดุนยาด้วยอวัยวะส่วนใดก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่ด้วยหัวใจ เพราะหัวใจมีไว้รักอัลลอฮ์ เป็นที่สถิตของอัลลอฮ์ ดังพระองค์ได้กล่าวไว้ในฮะดีษกุดซีย์ว่า

أَفْرِغْ قَلْبَكَ لاَنَّ قَلْبَكَ بَيْتِيْ أَسْكُنُ فِيْهِ

ความว่า “จงทำให้หัวใจของท่านว่าง เพราะหัวใจของท่านคือบ้านของฉัน ฉันพำนักอยู่ในนั้น”

โดย อาจาย์อับดุลการีม วันแอเลาะ - rabity

ฝากติดตาม เพจ : 📌 facebook.com/kru.tadeeka

วิธีดูแลตัวเองง่ายให้สดใส แบบฉบับอิสลาม

1) หลังจากตื่นนอนควรนวดใบหน้า ก่อนอาบน้ำหรือแปรงฟันทุกครั้ง โดยเริ่มจากใต้คางค่อยๆขึ้นไปถึงหต้าผาก ในขณะที่นวดให้กล่าว (ซอลาวาต 3 ครั้ง )

2) หลังจากนวดหน้าเสร็จ ต่อด้วยการดืมน้ำ แล้วอมเป็นเวลา 10 นาที ขณะที่อมอยู่ให้ (ซอลาวาต 3 ครั้ง) จาก นั้น ค่อยๆกลืนลงไป เพราะน้ำจะมี เอนไซม์ ที่สามารถย่อยอาหาร และดูดซึม สารอาหารไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของ ร่างกายได้

3) ควรตัดเล็บ ผม ในวันที่ดี ที่สุด คือ วันจันทร์ วันพฏหัส และวันศุกร์

4) ในขณะที่คุณแต่งตัวอยู่ ให้ยกมือทั้งสองข้าง พร้อมกล่าว (ซอลาวาต) แล้วลูบทั่วใบหน้า พร้อมเนียดว่า " ขอให้ใบหน้าของเรา มีรัศมี ด้วยเถิด อามีน !!


5) ขอให้ใบหน้าขอเราอ่อนกว่าวัย ควรทำวิธีนี้ด้วยความอิคลาส คือ ทุกครั้งหลังละหมาด สุบฮี ให้อ่านซูเราะ ยูซุฟ หลังจากนั้นให้ดืมน้ำอุ่นตามหลังอีก3 ครั้ง

6) ท่องจำซูเราะ อัลวากีอะ อายัต 35-38 อ่านในใจทุกครั้งในขณะที่คุณอาบน้ำ แล้วอาบให้รดหัวที่แรก

7) ฝึกตื่นนอนเช้าๆ แล้วอาบน้ำ ค้างที่บริสุทธ์ ปราศจากสิ่งสกปรก แล้วเริมเอาน้ำค้างมาเช็ดที่ใบหน้า ต่อมาด้วยผม และทั่วร่างกาย น้ำค้างมีประโยชน์มาก สามารถทำให้หน้าเราดูสดใส

8) อาบน้ำบ่อเช้าๆ เพราะน้ำในบ่อเช้าๆ เป็นน้ำที่ไร้สารตกค้าง เพราะตะกอนที่อยู่ในน้ำจะตกในก้นบ่อ

9) โดยปกติแล้ว หลังจากเราตืนนอนหน้าของเราจะมัน สิ่งแรกที่เราต้องทำคือนวดหน้า โดยใช้ นิ้วทั้งสองข้างตั้งไว้ใต้คาง ค่อยๆนวดขึ้นไปถึงแก้มและจมูก นวดเบาค่อยๆไล่ขึ้นไปถึงหน้าผาก ฝึกทำแบบนี้ประจำทุกเช้า ต่อด้วยดืมน้ำอุ่นทุกครั้ง และรับประทานอาหารเช้าทุกครั้ง
(( อินชาอัลลอฮฺ ))

เครดิต ข้อมูล : berita muslim

การขอดุอาในขณะซูญุด

การขอดุอาในขณะซูญุด
      الحمدلله والصلاة والسلام على رسول الله وعلى آله وصحبه اجمعين وبعد

ท่านร่อซู้ล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้ใช้ให้เพียรทุ่มเทในการขอดุอาอฺในขณะสุหยูด โดยท่านกล่าวว่า : แท้จริงการสุหยูดนั้นสมควรยิ่งในการที่จะถูกตอบรับสำหรับพวกท่าน� นัยของหะดีษนี้หมายความว่า ท่านร่อซู้ล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ใช้ให้ขอดุอาอฺมาก ๆ ในการสุหยูด หรือสั่งใช้ว่าผู้ขอนั้นเมื่อทำการขอดุอาอฺในสถานที่หรือตำแหน่งหนึ่งตำแหน่งใด ก็จงขอในการสุหยูด? มีข้อจำแนกระหว่างคำสั่งทั้งสองนี้ การบ่งชี้ที่หะดีษนี้นำพาก็คือ การดุอาอฺนั้นมี 2 ชนิด คือ


การดุอาอฺในเชิงสรรเสริญ (دُعَاءُ ثَنَاءٍ) และการขอดุอาอฺในเชิงวิงวอนขอ (دُعَاءُمَسْأَلَةٍ) และท่านร่อซู้ล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) จะขอดุอาอฺอย่างมากในการสุหยูดของท่านจากทั้งสองชนิดนั้น และดุอาอฺซึ่งท่านได้ใช้ให้ขอในการสุหยูดก็รวมทั้ง 2 ชนิดเอาไว้ (ซาดุลมาอ๊าดฯ อิบนุอัลก็อยยิม, เล่มที่ 1 หน้า 98)
เครดิต : อ.อาลี เสือสมิง

และมีรายงานในซอฮีฮฺมุสลิม จากท่านอบูฮุรอยเราะฮฺ (ร.ฎ.) ว่า : ท่านร่อซู้ล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้กล่าวว่า : ที่บ่าวจะใกล้ชิดกับพระผู้อภิบาลของเขามากที่สุด คือ ในขณะที่เขาก้มสุหยูด ดังนั้นพวกท่านจงขอดุอาอฺมาก ๆ� ส่วนหนึ่งจากบทขอพรและการรำลึกของท่านร่อซู้ล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ในการสุหยูดนั้นได้แก่

1. سُبحَانَكَ اللّهُمَّ رَبَّنَاوبِحَمْدِكَ اللّهُمَّ اغْفِرْلِيْ

2. أَللّهُمَّ أَعُوْذُبِرضَاكَ مِنْ سَخَطِكَ ، وَبِمُعَافَاتِكَ مِنْ عُقُوْبَتِكَ ، وَأَعُوْذُبِكَ مِنْكَ ، لاَأُحْصِى ْثَنَاءًعليك أنتَ كماأَثْنَيْتَ عَلى نَفْسِكَ


บทขอพรข้อที่ 1 นั้นท่านร่อซู้ล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) จะอ่านทั้งในขณะรุ่กัวอฺและสุหยูด หากขอได้ในทุกการรุ่กัวอฺและการสุหยูดก็ถือว่าเป็นการดี แต่ในกรณีที่เราเป็นอิหม่ามก็ต้องพิจารณาความเหมาะสมและสภาพของมะอฺมูมด้วย


ส่วนการขอดุอาอฺด้วยภาษาอื่นนอกจากภาษาอาหรับนั้น นักวิชาการสังกัดมัซฮับอัชชาฟิอีย์มีความเห็นเป็น 3 ประเด็น คือ

(1) ถูกต้องที่สุด (أَصَحُّ الأَوْجُهِْ) อนุญาตให้ใช้คำแปลเป็นภาษาอื่นได้สำหรับผู้ที่ไม่สามารถใช้ภาษาอาหรับ ส่วนผู้ที่ใช้ภาษาอาหรับได้นั้นไม่อนุญาต ถ้าหากแปลเป็นภาษาอื่นถือว่าละหมาดของเขาเป็นโมฆะ

(2) อนุญาตให้ใช้คำแปลได้ทั้งผู้ที่ใช้ภาษาอาหรับได้เป็นอย่างดีหรือไม่ก็ตาม

(3) ไม่อนุญาตสำหรับผู้หนึ่งผู้ใดจากทั้งสองนั้น เนื่องจากไม่มีความจำเป็นสำหรับสิ่งนั้น และไม่อนุญาตให้แต่งสำนวนของพรอื่นจากที่มีรายงานมาจากท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) และใช้สำนวนนั้นเป็นภาษาอื่นโดยไม่มีข้อขัดแย้ง และการละหมาดนั้นจะใช้ไม่ได้ด้วยการใช้สำนวนขอพรที่แต่งขึ้นด้วยภาษาอื่น ซึ่งแตกต่างจากกรณีถ้าหากแต่งเป็นภาษาอาหรับ กรณีนี้อนุญาตสำหรับนักวิชาการสังกัดมัซฮับอัชชาฟิอีย์โดยไม่มีข้อขัดแย้ง

(อัลมัจญ์มูอฺ ชัรฮุ้ลมุฮัซซับ ; อิหม่ามอันนะวาวีย์ เล่มที่ 3 หน้า 259)


สรุปก็คือ ให้คุณท่องจำบทขอพรของท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ซึ่งเป็นภาษาอาหรับดังตัวอย่างที่ยกมาถือเป็นการดีที่สุด เพราะไม่มีข้อขัดแย้งของนักวิชาการ แต่ถ้าคุณจะขอเป็นกรณีพิเศษในขณะสุหยูดซึ่งเป็นเรื่องอื่น ๆ ก็ให้ขอในใจโดยไม่ต้องเปล่งวาจาออกมาก็ได้ (ขอเป็นภาษาไทยแต่ขอในใจ) อย่างนี้ก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด และพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงรับรู้ถึงสิ่งที่คุณขอในใจนั้นอย่างแน่นอน
เครดิต : อ.อาลี เสือสมิง

ดุอาเมื่อปวดหัว พร้อมคำอ่าน

ดูอาเมื่อปวดหัว
 วิธีที่ 1 . ให้อ่าน กุลฮุวัลลอฮ์ ( ซูเราะอัลอิคลาส) และ กุลอาอูซุบีร๊อบบีนนาส (ซูเราะอันนาส) แล้ว ลูบบริเวณที่ปวดดังกล่าว
  วิธีที่ 2 . ให้เอามือขวาวางที่อวัยวะ หรือ สถานที่เจ็บปวด แล้วกล่าว บิสมีลลาห์ 3 ครั้ง
แล้วขอดุอา อีก 7 ครั้งว่า
أعوذ بالله وقدرته من شرّ ما أجد وأحاذر
(( อ่านว่า.. อาอูซูบีลลาฮฺฮี วากุดรอตีฮี มิง..ซัรฺรีมา อาญีดู วาอาฮา.. ซีรู ))

หมายความว่า.. ฉันขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ และ ความเดชานุภาพของพระองค์ จากความเลวร้าย ที่ฉันได้พบ และได้ระวัง

... วัลลอฮูอะลา วาอะลัม
krutadeekapost.blogspot.com

รวมดุอาประจำวัน

ดุอาก่อนนอน

بِسْمِكَ اللّهُمَّ أَمُوْتُ وَأحْيَي

*ด้วยพระนามของพระองค์ท่าน...ที่ข้าพเจ้าจะต้องตายและจะมีชีวิตอยู่ต่อไป*

بِسْمِكَ رَبِّيْ وَضَعْتُ جَنْبِيْ وَبِكَ أَرْفَعُهُ، إِنْ أَمْسَكْتُ نَفْسِيْ فَارْحَمْهَا، وَإِنْ

أَرْسَلْتَهَِا فَاحْفَظْهَا بِمَا تَحْفَظْ بِهِ عِبَادِكَ الصَّالِحِيْن

*ด้วยพระนามของพระองค์ท่าน...โอ้พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า...ข้าพเจ้าได้วางสีข้างของข้าพเจ้า และด้วยพระองค์ท่านเท่านั้นที่ข้าพเจ้าจะยกมันขึ้น หากพระองค์ท่านจะเก็บชีวิตข้าพเจ้า ขอได้โปรดให้ความเมตตามันด้วยเทอญ และหากพระองค์ท่านยังปล่อยให้มันอยู่ต่อไป ก็ขอได้โปรดรักษามันด้วยสิ่งเดียวกับที่พระองค์ท่านรักษาบรรดาบ่าวของพระองค์َที่มีคุณธรรม*

***************************

ดุอาตื่นนอน

اَلْحَمْدُ لِلّهِ الّذِيْ أَحْيَانَا بَعْدَ مَا أَمَاتَنَا وَإِلَيْهِ النُّشُورُ

*มวลการสรรเสริญเป็นเอกสิทธิ์ของอัลเลาะห์ผู้ซึ่งให้เรามีชีวิตอยู่ หลังจากที่ให้เราตายไปแล้ว และเราทุกคนจะต้องกลับคืนสุ่พระองค์*

********************

เมื่อตกใจตื่น

أَعُوْذُ بِكَلِمَاتِ اللهِ التّامَّةِ مِنْ غَضْبِهِ وَشَرِّعِبَادِهِ وَمِنْ هَمَزَاتِ الشَّيَاطِيْنَ وَأَنْ يَحْضُرُوْن

*ข้าพเจ้าขอการปกป้องคุ้มครองด้วยดำรัสที่สมบูรณ์ของอัลเลาะห์จากความกริ้วของพระองค์ จากความชั่วร้ายของบรรดาบ่าวของพระองค์ จากมายาการต่างๆของพวกชัยฏอน จากการที่พวกมันจะมาหาข้าพเจ้า**

********************


ขอให้ฝันดี

اللّهُمَّ أَنِّيْ أَسْألُُكَ رُؤْياًصَالِحَةٍ صَادِقَةً غَيْرَكَاذِبَةٍ نَافِعَةً غَيْرَ ضَارَّةٍ

*โอ้อัลเลาะห์...ข้าพเจ้าขอวิงวอนต่อพระองค์ท่านได้โปรดให้ความฝันเป็นความฝันที่ดี ที่เป็นจริงไม่เป็นเท็จ และที่เป็นประโยชน์ไม่เป็นโทษ**

********************


เมื่อฝันร้าย

اللّهُمَّ إِنِّيْ أَعُوْذُبِكَ مِنَ الشَّيطَانِ وَسَيِّئاَتِ الأَحْلامِ

*โอ้อัลเลาะห์...ข้าพเจ้าขอการปกป้องคุ้มครองด้วยพระองค์ท่านจากชัยฏอน และจากการฝันร้าย**

********************


เมื่อสามีภรรยาจะร่วมหลับนอน

بِسْمِ اللهِ، اللهُمَّ جَنِّبْنَا الشَّيْطَانَ وَجَنِّبِ الشَّيْطَانَ مَا رَزَقْتَنَا

*ด้วยพระนามของอัลเลาะห์...โอ้อัลเลาะห์...โปรดให้พวกเราห่างไกลจากชัยฏอน และให้ชัยฏอนห่างไกลจากสิ่งที่พระองค์จะประทานริสกีแก่พวกเรา**

********************
ดุอาอฺรับประทานอาหาร


اََللّهُمَّ بَاِركْ لَنَا فِيمَا َرَزْقتَََنَا َوِقَِنَا عَدابَ النََّاِر



ความว่า : ข้าแด่อัลลอฮฺ ได้โปรดประทานความเพิ่มพูนให้แก่เรา ในสิ่งที่พระองค์ท่านได้ประทานเป็นปัจจัยยังชีพแก่เรา และได้โปรดพิทักษ์คุ้มครองเราให้พ้นจากการลงโทษของไฟนรก

ดุอาอฺหลังจากรับประทานอาหาร


الحَمْدُ لله اَّلدِيْ أطَْعَمَنَا وَسقَا نَا َوجَعَلَنَا مُسْلِمين






ความว่า : มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิแด่อัลลอฮฺ ซึ่งได้ให้เรารับประทานอาหาร และได้ให้เราดื่มน้ำ และได้ดลบันดาลให้เราเป็นมุสลิม

ดุอาอฺเข้ามัสยิด


اَلّهُمَّ افْتَحْ لِيْ أَبْوَابَ رَحْمَتِكَ


............ความว่า : ข้าแด่อัลลอฮฺ ได้โปรดเปิดประตูแห่งความเมตตา ของท่านแก่ข้าพเจ้าด้วย
ดุอาอ์ออกจากมัสยิด


اَلّلهُمَّ إِنِّى أَسْأَ لُكَ مِنْ فَضْلِكَ




ความว่า : ข้าแด่อัลลอฮฺ ฉันวิงวอนขอความโปรดปรานของท่าน


ดุอาอ์ก่อนนอน

بِسْمِكَ الّلهُمَّ أَمُوْتُ وَأَحْيَى




.ความว่า : ในนามของท่าน ข้าแด่อัลลอฮฺที่ฉันจะต้องตายและมีชีวิตอยู่




ดุอาอ์ตื่นนอน


اَلْحَمْدُ لِلّهِ الَّذِيْ أَحْيَانَا بَعْدَمَا أَمَاتَنَا وَإِلَيْه ِ النُّشُوْرُ




ความว่า : มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิ์แด่อัลลอฮฺ ซึ่งให้เรามีชีวิต ภายหลังจากที่ให้เราตายไป และเราทั้งหลายจะต้องกลับคืนสู่พระองค์ ู่


ดุอาอ์เข้าห้องส้วม



اَلّلهُمَّ إنّىْ أعُودُ ِبكَ مِنَ الْخُبْثِ وَاْلخَبَا ِئثْ





............ความว่า : ข้าแด่อัลลอฮฺ ฉันขอป้องกันด้วยท่านจากไซตอนเพศผู้ และไซอตอนเพศเพศเมีย (ข้อเตือนใจ: ให้เริ่มเข้าห้องส้วมโดยก้าวเท้าซ้ายเข้าไปก่อน )

ดุอาอ์ออกจากห้องส้วม
...........

غُفْرَا نَكَ اْلحَمْد لِلّهِ الَّذِيْ أَذْهَبَ عَنِّى اْلأذى وَعَافَانِيْ




ความว่า : ได้โปรดอภัยให้แก่ข้าพเจ้า มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิแด่อัลลอฮฺ ซึ่งได้ขจัดความเดือดร้อนออกไปจากข้าพเจ้า และให้ข้าพเจ้าได้รับความสุข

ดุอาอ์ขณะสวมใส่เสื้อผ้า


اَلّلهُمَّ أَسْأَ لُكَ مِنْ خَيْرِهِ وَخيْرِ مَاهُوَ لَهُ وَأَعُوْذُبِكَ مِنْ شَرِّهِ وَشَرِّمَا هُوَلَهُ



ความว่า : ข้าแด่อัลลอฮฺ ข้าพเจ้าขอความดีของเสื้อผ้านี้ และความดีของสิ่งที่อยู่ในเสื้อผ้านี้ ข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยท่าน จากความชั่วร้ายของเสื้อผ้านี้ และความชั่วร้ายของสิ่งที่มีอยู่ในเสื้อผ้านี้



ดุอาอ์ขณะถอดเสื้อผ้าออก

بِسْمِ اللهِ الَّذِيْ لآإِلهَ إِلاَّ هُوَ





ความว่า : ในนามของอัลลอฮฺผู้ซึ่งไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะ โดยเที่ยงแท้ นอกจากพระองค์เท่านั้น

ดุอาอ์ขณะขึ้นพาหนะ

بِسْمِ الله



ความว่า : ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ

ดุอาอ์เมื่อขึ้นพาหนะแล้ว
...........

سُبْحَا نَ الّدِيْ سَخَّرَلَنَا هَدَا وَمَا كُّنَا لَهُ مُقْرِنِيْنَ وَإنَّاإلى رَبِّنَالَمُنْقَلِبُوْنَ





ความว่า : มหาบริสุทธิ์แด่ผู้ซึ่งได้ให้สิ่งนี้เป็นความสะดวกแก่เราที่งที่เราไม่เคยมาก่อน และแน่นอนเราทุกคนจะต้องกลับคืนสุ๋องค์อภิบาลของเรา


ดุอาอฺขอให้บิดามารดา



"ข้าแด่อัลลอฮฺ ขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้แก่ข้าพระองค์ และบิดามารดาของข้าพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงโปรดเมตตาแก่ท่านทั้งสอง เหมือนกับที่ท่านทั้งสองได้ให้ความเมตตาเลี้ยงดูข้าพระองค์ในวัยเด็ก"

(ให้อ่านทุกวัน เป็นดุอาอฺที่ขอให้บิดามารดา ทั้งที่สิ้นชีวิตและที่ยังมีชีวิตอยู่)

ดุอาอฺขอทางสว่างและป้องกันภัยรอบตัว


โอ้อัลเลาะห์ ได้โปรดให้แสงสว่างแก่หัวใจของฉัน การมองของฉัน การฟังของฉัน การพูดของฉัน
ด้านขวาของฉัน ด้านซ้ายของฉัน ด้านบนของฉัน ด้านล่างของฉัน ด้านหน้าของฉัน และด้านหลังของฉัน